ทีเอ็มบีธนชาต ผุดสินเชื่อแก้หนี้สินดอกเริ่ม 7.99% หวังช่วยปลดภาระหน้าที่หนี้สิน

นายฐาแขน ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ครั้งเอ็มบีธนชาต เผยออกมาว่า ปัญหาด้านการขาดสภาพคล่องด้านการเงินสาเหตุจากภาระหน้าที่หนี้สิน 

การเงิน โดยยิ่งไปกว่านั้นหนี้สินครอบครัวของชาวไทย มีลักษณะท่าทางที่เพิ่มสูงมากขึ้นโดยตลอด ไม่ว่าจะติดหนี้ติดสินบ้าน หนี้สินรถยนต์ หนี้สินบัตรเครดิต หรือหนี้เชื่อส่วนตัว ซึ่งจากผลที่เกิดขึ้นจากการสำรวจของ PwC พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับทางการคลังของบุคลากรค่าตอบแทนรายเดือนเกิดโทษต่อหน่วยงาน โดย 69% จะรู้สึกมีคุณค่ากับหน่วยงานลดลง 42% เริ่มมองหางานใหม่ 35% รู้สึกไม่ต้องการมาดำเนินการ แล้วก็ 41% รู้สึกกระทบกับคุณภาพสำหรับในการปฏิบัติงาน คราวครั้งบีในฐานะหัวหน้าสินเชื่อส่วนตัว ที่มีเป้าหมายสร้างฐานรากชีวิตด้านการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับชาวไทยทั่วประเทศ โดยยิ่งไปกว่านั้นกรุ๊ปบุคลากรค่าตอบแทนรายเดือนที่กำลังประสบพบปัญหา รวมทั้งจำเป็นต้องใช้ตัวช่วยด้านการเงิน แบงค์ก็เลยตั้งใจพรีเซนเทชั่นโซลูชันทางด้านการเงินให้กับหน่วยงาน หรือบริษัทเอกชน/รัฐวิสาหกิจ และก็หน่วยงานรัฐบาล ที่อยากได้ยกฐานะประสบการณ์ด้านผลประโยชน์ให้บุคลากรในหน่วยงานโดยปัจจุบัน ครั้งคราวบีได้พรีเซนเทชั่นผลประโยชน์สินเชื่อ สินเชื่อผลประโยชน์สารพัดประโยชน์ หนคราวบี แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน’ 

ทีเอ็มบีธนชาต ผุดสินเชื่อแก้หนี้สินดอกเริ่ม 7.99% หวังช่วยปลดภาระหน้าที่หนี้สิน

ซึ่งเป็นวงเงินสารพัดประโยชน์ ซึ่งสามารถกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลรับรอง ตอนนี้ให้บริการสำหรับลูกค้าพนักงานประจำใน กรุ๊ปหลัก

 อย่างเช่น พนักงานประจำของบริษัทเอกชน เจ้าหน้าที่รัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ข่าวการเงิน และก็หน่วยราชการทหาร ที่มีการเซ็นชื่อในบันทึกกติกา (MOU) กับแบงค์ เพื่อช่วยลดภาระหน้าที่ดอกลงสูงสุดถึง เท่า สามารถใช้จัดการหนี้สินที่มีอยู่นานัปการบัญชีกับสถาบันการเงินต่างๆอาทิเช่น หนี้สินจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด รวมทั้งสินเชื่อส่วนตัวที่มีอัตราค่าดอกเบี้ยสูง โดยลูกค้าสามารถรวบหนี้สินได้สูงสุด รายการ มาอยู่กับครั้งหนบีเพียงแค่ที่เดียว สามารถกู้ได้สูงสุด เท่าของรายได้ต่อเดือน และก็ช่วงเวลาผ่อนส่งสูงสุดนาน ปี การรวบหนี้สินจากหลายสถาบันการเงินให้มาอยู่ที่เดียวกัน หรือจัดการหนี้สินจากสถาบันการเงินที่มีอัตราค่าดอกเบี้ยสูง มาอยู่กับหนครั้งบีที่ให้อัตราค่าดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ด้วยวงเงินผ่อนหนี้ต่องวดที่เบาลง จะเป็นเยี่ยมตัวเลือกที่ดีสำหรับเพื่อการช่วยปลดล็อกปัญหาหนี้สิน แล้วก็ช่วยบริหารสภาพคล่องแล้วก็หนี้สินให้มีคุณภาพ โดยหนคราวบีพร้อมจะเข้ามาช่วยบุคลากรค่าตอบแทนรายเดือนบริหารจัดแจงเรื่องรายได้ครบวงจรที่สุด

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ธนาคารชาติชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นทุกด้าน

ธนาคารชาติชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นทุกด้าน

นายเศรษฐความสมบูรณ์ สุทธิวาทนฤความมั่งคั่ง ผู้ว่าการธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทยเอ่ยถึงแนวทางเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ว่า ภายหลังที่เศรษฐกิจไทยผ่าน วิกฤติทางด้านเศรษฐกิจตั้งแต่วิกฤติวัววิด-19 

ธนาคารชาติชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นทุกด้าน

วิกฤติน้ำมันแพง ซึ่งสำเร็จกระทบจากการรบยูเครนแล้วก็รัสเซียก่อเรื่องเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ข่าวการเงิน อย่างเร็วทั่วทั้งโลก ทำให้เกิดปัญหาวิกฤติเงินเฟ้อและก็การรีบปรับขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วทั้งโลก กระทบต่อทุนกระบวนการทำธุรกิจ ปัจจุบัน วิกฤติความอ่อนแอของสถาบันการเงินในต่างชาติ ในปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นภาพการฟื้นฟูสภาพของเศรษฐกิจไทยที่กระจ่างแจ้ง คาดว่าจะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ โดยมีการปรับมากขึ้นของการท่องเที่ยว และก็การใช้จ่ายของพสกนิกรเป็นตัวหนุน ต้องการการันตีให้บันเทิงใจกันว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นในทุกด้าน ราคาเศรษฐกิจไทยได้กลับไปสู่ตอนก่อนวัววิดแล้วในไตรมาสแรก แล้วก็ฟื้นสม่ำเสมอ คาดว่าครึ่งปีข้างหลัง จะฟื้นได้ดีมากว่าครึ่งปีแรก คร่าวๆการว่าอัตราการเจริญเติบโตของสินค้ามวลรวมในประเทศ (จีดีพีครึ่งปีแรกจะขยายตัว 2.9% ในตอนที่ครึ่งปีข้างหลังขยายตัว 4.3% ทำให้ตลอดปีขยายตัว 3.6% ส่วนภาคส่งออกจะหดตัว 7.1% ในครึ่งปีแรก ก่อนที่จะกลับมาบวกในช่วงหลังของปีสำหรับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของปีนี้ ยังจะต้องจับตาผลพวงจากเศรษฐกิจเมืองนอก ซึ่งมีความแจ่มแจ้งว่าจะชะลอตัวลงในอนาคต แต่ว่าสาเหตุที่จำต้องจับตาเป็นพิเศษเป็นแนวทางการฟื้นฟูสภาพของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีความพึ่งสูงอีกทั้งด้านการส่งออก การท่องเที่ยว ว่าจะฟื้นเจริญเท่าไร จะช่วยทำให้ไทยส่งออกได้มากขึ้นหรือเปล่ายังไง แล้วก็จะต้องจับตาผลพวงจากความปั่นป่วนของตลาดเงินตรา ตลาดทุน เงินลงทุนโยกย้ายของโลก แต่ว่าส่วนตัวยังไม่มั่นใจว่าวิกฤตำหนิสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในโลกในช่วงเวลานี้จบลงหรือยัง.

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : แดนที่เราไม่เคยรู้จัก ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย

แแดินแดนที่เราไม่เคยรู้จัก ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย

ดินแดนที่หนึ่ง–โลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการใช้พลังงานถ่านหินและน้ำมันสูงถึง 60%

ดินแดนที่เราไม่เคยรู้จัก

ข่าว อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวได้ในปี 2591 จีดีพีจะเสียหายไปถึง 43.6% เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ธปท.ในฐานะผู้กำกับดูแลผู้ให้บริการในภาคการเงิน ข่าวการเงิน จึงได้กำหนดทิศทางและบทบาทของภาคการเงินให้สามารถตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น เช่น ให้มีบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ การทำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (taxonomy) การจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบเข้าถึงได้ และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลของสถาบันการเงิน เพื่อให้ประเทศไทยมี ข้อมูลกลางด้านสิ่งแวดล้อม ที่ใช้ร่วมกันทั้งในและนอกภาคการเงิน สิ่งที่รออยู่ ณ ดินแดนใหม่ ภาครัฐสามารถดำเนินนโยบายได้ตรงจุด สามารถเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจต่างๆได้ดียิ่งขึ้น โดยมี Thailand Taxonomy เป็นมาตรฐานกลาง

รีไฟแนนซ์ VS ลดดอกเบี้ยธนาคารเดิม แบบไหนประหยัดเงินได้มากกว่า

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังผ่อนบ้านอาจเกิดข้อสงสัยว่า ระหว่างการขอลดดอกเบี้ยบ้าน กับ รีไฟแนนซ์ แบบไหนจะช่วยประหยัดเงินได้มากกว่ากัน

การเงิน การขอลดดอกเบี้ยบ้านกับธนาคารเดิม (Retention) คือ การขอเจรจาต่อรองกับธนาคารเดิมที่ผ่อนอยู่ว่าสามารถขอลดดอกเบี้ยได้หรือเปล่า ซึ่งธนาคารจะพิจารณาถึงประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ เหมาะกับลูกหนี้ที่จ่ายเงินตรงเวลาทุกงวด ซึ่งการขอลดดอกเบี้ยบ้านธนาคารเดิมก็ไม่ยุ่งยาก เพราะธนาคารมีประวัติและข้อมูลลูกหนี้อยู่แล้วอีกทั้งค่าดำเนินการก็ไม่สูง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขธนาคารด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าดอกเบี้ยที่จะลดให้ไม่เยอะเท่าไหร่ทางเว็บไซต์ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ศคง.) ได้อธิบายว่า รีไฟแนนซ์บ้าน คือ การเปลี่ยนเจ้าหนี้ เพื่อมาขอกู้จากผู้ให้สินเชื่ออีกแห่งหนึ่งแทน โดยผู้ให้สินเชื่อมักจะเสนอดอกเบี้ยต่ำในช่วงปีแรก การไปเริ่มกู้กับธนาคารแห่งใหม่เมื่อหมดช่วงเวลาที่ได้ดอกเบี้ยต่ำแล้วมักจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง จึงมีการนำเสนอให้ผู้ขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ หรือไถ่ถอนหนี้จากผู้ให้สินเชื่อเดิมเพื่อมาขอกู้จากผู้ให้ สินเชื่ออีกแห่งที่เสนอจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือมีข้อเสนออื่นๆ มาจูงใจ ทุกครั้งที่จะตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ต้องคำนวณให้ดีก่อนว่าคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบว่าเงินที่ประหยัดได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงมากกว่า หรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่ต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาสินเชื่อใหม่ทั้งหมด เช่น ค่าจดจำนองหลักประกัน ค่าใช้จ่ายในการประเมินมูลค่าหลักประกัน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำประกัน ค่าปรับให้แก่เจ้าหนี้เก่า ในกรณีที่ยุติการกู้ก่อนระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา

รีไฟแนนซ์ VS ลดดอกเบี้ยธนาคารเดิม แบบไหนประหยัดเงินได้มากกว่า

หากพบว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง หรือเสียเวลาใ การดำเนินการมาก แต่ช่วยให้ประหยัดเงินได้น้อย การใช้บริการผู้ให้สินเชื่อเดิมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ตัวอย่าง การประมาณการเพื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ เพื่อประเมินเบื้องต้น ข่าวการเงิน ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ นาย ก ได้กู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร A เป็นเงิน 2,200,000 บาท โดยกู้มาแล้ว 2 ปี ขณะที่เงินต้นคงเหลือ 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่เดิมคือ 7% โดยนาย ก กำลังตัดสินใจว่าจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคาร B ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ให้สันนิษฐานว่าหลังจากหมดโปรโมชั่นแล้ว จะใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินเดิม) แต่นาย ก ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 3% ของยอดคงค้าง เพราะเพิ่งจะกู้ไม่ถึง 3 ปี ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์

ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ = ?
? = AxBxC

A = เงินต้น
B = อัตราดอกเบี้ยที่ประหยัดได้
C = จำนวนปีที่ได้โปรโมชั่น

A = อัตราดอกเบี้ยที่อยู่สถาบันเดิม – อัตราดอกเบี้ยสถาบันที่จะรีไฟแนนซ์

B = จำนวนปีที่สถาบันการเงินแห่งใหม่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าสถาบันการเงินเดิม

จากตัวอย่างคำนวณได้ว่า ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ (ประมาณ)
=2,000,000 x (7-3)/100 x 3
= 240,000 บาท

ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่หน่วยงานราชการ ค่าจดจำนองหลักประกัน (1% ของวงเงินจำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท) ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้แต่ไม่เกิน 10,000 บาท) ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่สถาบันการเงินแห่งใหม่ ค่าประเมินหลักประกัน ค่าปรับที่ต้องจ่ายให้แก่สถาบันการเงินเดิม เช่น ถ้าผ่อนส่งยังไม่ครบจำนวนปีที่กำหนด ก็จะต้องจ่ายค่าปรับ เช่น 3% จากเงินต้นคงค้าง ทั้งนี้ แต่ละสถาบันการเงินอาจกำหนดค่าใช้จ่าย และค่าปรับไว้แตกต่างกัน ดังนั้น ควรสอบถามเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากตัวอย่าง คำนวณได้ดังนี้

ค่าจดจำนองบ้าน
=20,000 บาท (2,000,000×1/100)
ค่าอากรแสตมป์
=1,000 บาท (2,000,000×0.05/100)
ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ทั้งสิ้นราว = 240,000 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 84,000 บาท
*การคำนวณข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากสถาบันการเงินแต่ละแห่งเมื่อคำนวณแล้ว การรีไฟแนนซ์ตามตัวอย่างนี้จะประหยัดเงินได้ราว 240,000-84,000 = 156,000 บาทเห็นได้ชัดว่า การรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ หรือการขอลดดอกเบี้ยของธนาคารเดิมที่กู้ ล้วนแต่จะช่วยลดดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่จะได้ลดลง หรือประหยัดเงินได้มากขึ้นนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นก็อย่าลืมเปรียบเทียบโปรโมชั่นของแต่ละธนาคาร และควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจด้วยนะ

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ดาวโจนส์ปิดบวก 112 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น

 

ดาวโจนส์ปิดบวก 112 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกในวันศุกร์ (13 ม.ค.) ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น หลังเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง

ดาวโจนส์ปิดบวก 112 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น

การเงิน ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,302.61 จุด เพิ่มขึ้น 112.64 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,999.09 จุด เพิ่มขึ้น 15.92 จุด หรือ +0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,079.16 จุด เพิ่มขึ้น 78.05 จุด หรือ +0.71% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 2%, ดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้น 2.7% และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 4.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 4.2% แล้วในปีนี้ ขณะที่ดัชนี Cboe Volatility ซึ่งวัดความวิตกของนักลงทุนนั้น ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยผลกำไรต่ำกว่าคาด แต่หุ้นธนาคารทั้ง 4 ตัวดังกล่าวปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.5% และดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มธนาคารปิดบวก 1.6% นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจในวันศุกร์ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 64.6 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 ข่าวการเงิน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 60.7 หลังจากแตะระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้แรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันจันทร์ (16 ม.ค.) เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และในสัปดาห์หน้า บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงความเห็นของซีอีโอของบริษัทต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจ

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ตั้งงบปี 67 เพิ่มแสนล้าน รับรัฐบาลใหม่

ตั้งงบปี 67 เพิ่มแสนล้าน รับรัฐบาลใหม่

นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ตั้งงบปี 67 เพิ่มแสนล้าน รับรัฐบาลใหม่

การเงิน ได้เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง 4 ปี (งบประมาณ 2567-2570) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอโดยมีการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ภายใต้แผนฉบับนี้ เบื้องต้นไว้ที่ 3.35 ล้านล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมาจากงบประมาณปี 2566 ที่มีวงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 165,000 ล้านบาท ส่วนการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2567 กำหนดเบื้องต้นอยู่ที่ 593,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณก่อน ซึ่งกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 695,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.88% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือลดลงประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยการปรับลดวงเงินการขาดดุลงบประมาณลงในงบประมาณปี 2567 นี้ เป็นเจตนาของกระทรวงการคลังที่ต้องการกำหนดวงเงินขาดดุลลดลงให้ได้ต่ำกว่า 3% ต่อจีดีพี เพื่อนำไปสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในอนาคตนายอาคม ข่าวการเงิน เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีเป้าหมายที่จะลดขนาดการขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567 รวมถึงมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม ขณะที่กรอบอัตราเงินเฟ้อปี 2566 อยู่ที่ 1-3%.

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : Prize Bond ตราสารหนี้ ที่ได้ลุ้นรางวัลคล้ายลอตเตอรี่

Prize Bond ตราสารหนี้ ที่ได้ลุ้นรางวัลคล้ายลอตเตอรี่

ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า หลายพรรคการเมืองเริ่มมีการประกาศนโยบายต่าง ๆ

การเงิน เป็นการหาเสียง มีนโยบายหนึ่งที่เป็นแนวคิดลูกผสมของการออมที่ก็ยังได้ลุ้นรางวัลแบบหวยซึ่งเป็นความชอบของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ แม้ว่ารายละเอียดของนโยบายนี้จะยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ แต่ดูเหมือนจะคล้ายคลึงกับ Prize bond ที่มีในต่างประเทศ เรามาดูกันว่า Prize bond คืออะไร มีความน่าสนใจอย่างไร ถ้าจะมีจริงในประเทศไทย รูปแบบจะเหมือนหรือต่างกันไหม ในสหราชอาณาจักรจะเรียก Prize bond ว่า Premium bond และในประเทศนิวซีแลนด์เรียกว่า Bonus bond ซึ่งเป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานรัฐเพื่อส่งเสริมการออมของประชาชนและนำเงินที่ได้ไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ โดย Prize bond จะมีการสุ่มแจกรางวัลให้กับผู้ถือตราสารหนี้เป็นประจำตามรอบเวลาที่กำหนด เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกไตรมาส Prize bond จึงเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมของประชาชนทั่วไปที่ชอบเสี่ยงโชค Prize bond จะขายที่ราคาหน้าตั๋วและไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่นักลงทุนจะได้ลุ้นรางวัลตามรอบเวลาที่กำหนดตลอดอายุของ Prize bond ยิ่งถ้านักลงทุนซื้อ Prize bond หลายหน่วย ก็จะยิ่งมีโอกาสถูกรางวัลมากขึ้น ดังนั้นเพื่อกระจายโอกาสการถูกรางวัล จึงมีการกำหนดมูลค่าเงินลงทุนใน Prize bond ที่ประชาชนสามารถซื้อได้ และมีหลายรุ่นอายุให้เลือกลงทุนยาวไปจนถึงไม่มีกำหนดอายุ ทั้งแบบที่ขายคืนได้ และแบบที่ต้องถือจนกว่าจะครบกำหนดอายุจึงจะได้รับเงินต้นคืน สำหรับในประเทศไทย ยังไม่มีการออก Prize bond แต่สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นสลากออมสิน หรือสลาก ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งสำหรับการออมเงินที่ยังสามารถลุ้นรับโชคได้ เงินรางวัลอาจจะไม่สูงเท่าลอตเตอรี่แต่เงินต้นไม่หาย สำหรับประชาชนที่ชอบลุ้นหวย การซื้อ Prize bond ยิ่งมากก็ยิ่งมีโอกาสถูกรางวัลมาก ที่สำคัญ เงินต้นไม่หาย แถมพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสที่จะเกษียณสุขก็อยู่ไม่ไกล

Prize Bond ตราสารหนี้ ที่ได้ลุ้นรางวัลคล้ายลอตเตอรี่

ประชาชนสามารถลุ้นรางวัลไปได้เรื่อย ๆ โดยเงินรางวัลของ Prize bond มีหลายรูปแบบ เช่น รางวัลเดียวเป็นเงินก้อนใหญ่

หรือหลายรางวัลลดหลั่นกันไปเหมือนลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 และรางวัลที่ 2 จนถึงรางวัลสุดท้าย ข่าวการเงิน ที่ไม่กี่ร้อยบาทตัวอย่าง Prize bond ของ UK ที่ออกครั้งแรกเมื่อปี 1956 มีชื่อเรียกว่า Premium bond ออกโดยธนาคารออมทรัพย์ของรัฐ (National Savings and Investments : NS&I) ปัจจุบันมีผู้ถือทั้งหมด 23 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าคงค้าง 58 พันล้านปอนด์ หรือกว่า 2 ล้านล้านบาทประชาชนสามารถขายคืน Premium bond ได้ตลอดเวลา และจะได้เงินคืนเท่ากับจำนวนเงินที่จ่ายไป ซึ่ง Premium bond 1 หน่วย มีมูลค่าเท่ากับ 1 ปอนด์ กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 25 ปอนด์ และลงทุนได้ไม่เกิน 50,000 ปอนด์ต่อคนประชาชนต้องถือ Prize bond อย่างน้อย 1 เดือนถึงจะมีสิทธิลุ้นรางวัล โดยในแต่ละเดือนจะมีการสุ่มตัวเลขเพื่อประกาศรางวัลที่มีทั้งหมดเกือบ 4 ล้านรางวัลต่องวด รางวัลที่ 1 มีมูลค่า 1 ล้านปอนด์ และรางวัลสุดท้ายมีมูลค่า 25 ปอนด์ ที่สำคัญ ทุกรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีในประเทศไอร์แลนด์ และอังกฤษ อนุญาตให้นักลงทุนสามารถซื้อ Prize bond ให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปีได้ ประชาชนจึงนิยมซื้อ Prize bond ให้เป็นของขวัญเด็กแรกเกิดที่อาจจะกลายเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามหาศาลได้ เพราะมีสิทธิลุ้นรางวัลไปได้เรื่อย ๆ หรือจะขายเป็นเงินก็ได้ โดยจะได้รับเงินคืนตามราคาหน้าตั๋วPrize bond ในต่างประเทศจึงได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำเนื่องจากการซื้อ Prize bond ช่วยให้มีโอกาสลุ้นผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ถ้าผู้ลงทุนไม่ถูกรางวัลติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะทำให้เงินลงทุนไม่เติบโต เท่ากับการเสียอำนาจการซื้อตามอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นได้ล่าสุดประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ได้มีการออก Prize bond เป็นครั้งแรกแล้วเมื่อต้นปี 2020 เรียกว่า Premyo bond เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออมเงินและนำเงินที่ได้จากการออมมาใช้ในโครงการภาครัฐ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก สามารถขายได้ถึง 4.961 พันล้านเปโซ สูงกว่าวงเงินที่กำหนดไว้เดิมที่ 3 พันล้านเปโซ