“กับดักหนี้จีน” เล่ห์กลเคลือบน้ำใจมังกร

ทันโลกข่าวต่างประเทศ17-10-65

จากการอธิบายแนวทางของรัฐบาลจีนจากทั้งยังกระทรวงสภาพแวดล้อมแล้วก็กระทรวงการต่างประเทศ มีจุดร่วมที่น่าดึงดูด เป็นทั้งคู่กระทรวงได้เอ่ยถึงแผนการ BRI ซึ่งเป็นโครงงานความร่วมแรงร่วมใจระหว่างชาติที่จีนเข้าไปมีหน้าที่ในภูมิภาคต่างๆ

แนวนโยบายนี้เป็นแนวทางการต่างประเทศในสมัย “สี จิ้น ผิง” ที่จีนภูมิใจ เพราะเหตุว่าบ่งบอกถึงถึงหน้าที่ของจีนสำหรับการไปร่วมมือกับประเทศต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศขนาดเล็ก เพื่อสร้างโลกที่ความสงบสุขและก็ความร่ำรวย อย่างไรก็ตาม หลายข้างออกมากล่าวว่าหลักการของจีนบางทีอาจมิได้สวยงาม ราวกับถูกเจาะจงเอาไว้ภายในพิมพ์เขียวทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาให้ประเทศขนาดเล็กที่จีนไปร่วมมือด้วย ตึกรูปดอกบัวตั้งสูงเด่นเด่นกลางเมืองวัวลอมโบ เมืองหลวงของศรีลังกา ด้วยความสูง 350 เมตร ดอกบัวยักษ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อจุดหมายด้านการติดต่อสื่อสารถูกหวังว่าจะเปลี่ยนเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของนักเดินทางด้วย ข้างบนของ Сolombo Lotus Tower มีห้องอาหารและก็จุดสำหรับเพื่อชมวิวที่แลเห็นได้ไกลถึงห้วงสมุทรประเทศอินเดีย ตึกนี้ก่อสร้างในปี 2012 รวมทั้งพึ่งเปิดให้บริการเมื่อตอนกลางเดือนเดือนกันยายนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ปราสาด สมรสิงห์ ซีอีโอของ Сolombo Lotus Tower ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ถึงเวลาจำต้องเปิดตัวตึกและก็ขายตั๋วราคาถูกมากกว่าที่คิดแผนไว้เพื่อทดแทนทุนสร้างมากมายก่ายกองปริมาณ 113 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือราว 4,300 ล้านบาท

แต่ว่าหลักสำคัญเป็น นักเดินทางจะมากันครึกโครมตามคาดหรือเปล่า เนื่องจากตึกนี้มีวิวาทะคัดค้าน หนึ่งเป็นเป้าประสงค์ของตึกที่ถูกกล่าวว่าเพื่อการติดต่อสื่อสาร แต่ว่าอันที่จริงตึกนี้ดูเหมือนมีคุณประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวมากยิ่งกว่า ใจความสำคัญลำดับที่สอง Сolombo Lotus Tower เป็นเครื่องหมายของความเจ็บ เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในแผนการ “White Elephant” อภิมหาโปรเจกที่สร้างมาจากเงินกู้ยืมจากจีนในสมัยที่อดีตกาลผู้นำมหินทรา ราชสกุณาเป็นผู้นำประเทศ ท่ามกลางหนี้เหลือล้นรวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าของศรีลังกาในขณะนี้ ดอกบัวยักษ์เหมือนหลักฐานย้ำเตือนถึงหนึ่งในแนวนโยบายอันบกพร่องที่ทำให้ประเทศตกอยู่ในหล่มของความล้มละลายแม้กระนั้น Colombo Lotus Tower ยังเทียบไม่ได้กับท่าเรือฮัมบันโตตา ศรีลังกากู้ยืมเงินจากจีนแล้วก็ให้บริษัทจีนเข้ามาจัดการก่อสร้าง แม้กระนั้นเมื่อเสร็จท่าเรือที่เป็นความหวังทางเศรษฐกิจกลับเหงาหงอย รายได้ไม่คุ้มกับที่ลงทุน รวมทั้งเมื่อศรีลังกาไม่มีกำลังจ่ายและชำระหนี้จีนตรงเวลาที่ระบุ สุดท้ายแล้วศรีลังกาจำเป็นต้องยอมเซ็นชื่อในกติกาที่เปิดให้จีนเช่าท่าเรือนาน 99 ปี

ผู้ไม่เห็นพ้องเห็นว่า กติกาดังที่กล่าวมาแล้วไม่มีความแตกต่างจากแนวทางการขายชาติ ความจริงผลพวงด้านการเงินที่ศรีลังกาพบเจอมิได้เกิดขึ้นจากทุนกู้จากจีนเพียงอย่างเดียว ยังมีต้นเหตุอื่นๆที่สั่งสมมาจากการจัดการงานตอนหลายปีล่วงมาแล้ว กระนั้นภาพหายนะทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกำลังสร้างความไม่สาบายใจให้แก่หลายชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติที่ค้างหนี้จีน มีคำศัพท์เรียกเหตุการณ์ติดหล่มอย่างนี้ว่า “Debt-Trap Diplomacy” หรือ “การทูตกับหนี้สิน” ง่ายดายยิ่งกว่านั้นเป็นคำที่รู้จักกันในชื่อ “กับหนี้สินจีน” เป็นแนวทางระหว่างชาติที่จีนจะปลดปล่อยสินเชื่อให้กับประเทศอื่นๆโดยมิได้คิดถึงความรู้ความเข้าใจสำหรับในการจ่ายหนี้ พร้อมนั้นยังเข้าไปช่วยปรับปรุงส่วนประกอบสาธารณูปโภคต่างๆที่เอื้อประโยชน์ต่อแผนการ และก็เมื่อตอนท้ายแล้วประเทศลูกหนี้ไม่สามารถที่จะจ่ายเงินได้ทันตามกำหนด จีนจะสร้างกติกาผ่อนผันที่ช่วยเหลืออิทธิพลตัวเองลักษณะเดียวกันกับกรณีท่าเรือฮัมบันโตตา ส่วนมากของประเทศลูกหนี้มักเป็นประเทศด้อยพัฒนา การทูตระหว่างชาติอย่างนี้ทำงานผ่านโครงงานแถบรวมทั้งทาง หรือ BRI ที่จีนปรารถนาสร้างโครงข่ายการค้าขายอันยิ่งใหญ่ที่ศตวรรษที่ 21

ทันโลกข่าวต่างประเทศ17-10-65

การมาถึงของโครงงาน BRI ช่วยทำให้ชาตินั้นๆมีถนนหนทาง ทางรถไฟ ตลอดจนท่าเรือ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นสาธารณูปโภคที่ล่อใจไม่น้อย นับจากปี 2013 เป็นต้นมา จีนลงทุนกับการพัฒนาโครงงาน BRI ไปแล้วสูงถึง 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และก็การแผ่กระจายอำนาจผ่านโครงงานยักษ์นี้สั่นความมั่นคงและยั่งยืนของชาติตะวันตก โน่นทำให้แนวคิด Debt-Trap Diplomacy ก็เลยมาจากชาติตะวันตก รวมทั้งก่อนหน้าที่ผ่านมารัฐบาลจีนเองไม่เคยเห็นด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเขาทำให้หลายชาติติดอยู่ในกับหนี้สิน ไม่มีข้อมูลแจ่มแจ้งเพราะว่าจำนวนมากกติกาและก็คำสัญญากู้หนี้ยืมสินที่จีนทำกับประเทศลูกหนี้ล้วนเป็นความลับ แม้กระนั้นรายงานจากวารสาร Forbes อ้างอิงข้อมูลในปี 2020 ว่ามีสูงถึง 97 ประเทศทั่วทั้งโลกที่เกี่ยวพันกับแผนการ BRI โดยมากอยู่ในทวีปแอฟริกา รวมเป็นจำนวนเงินกู้สูงถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา บางประเทศดังเช่นว่า จิบูตี แล้วก็แองโกลา มีหนี้สินมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติ หรือ GNI ซึ่งเป็นการรวม GDP ของประเทศกับรายได้ที่เกิดขึ้นในฝรั่ง รองลงมาเป็น ลาว แซมเบีย มัลดีฟส์ รวมทั้งคีร์กิซสถานที่ ที่คาดกันว่าหนี้สินจีนอยู่ที่ราวจำนวนร้อยละ 30 ของ GNI

การระบาดของโควิด-19 ที่ผลักรั้งเศรษฐกิจประกอบกับวิกฤตเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั้งโลกยิ่งสร้างความรู้สึกไม่สบายใจว่า ชาติกลุ่มนี้จะยิ่งใช้หนี้ใช้สินเหนื่อยยากขึ้นและก็ยิ่งทำให้อิทธิพลจีนแผ่กระจาย ในกรณีของลาว ส่วนประกอบเบื้องต้นที่เติบโตขึ้นอย่างเร็วในตอนไม่กี่ปีที่ล่วงเลยไปล้วนเป็นทุนจีน จีนเป็นชาติที่ลงทุนใหญ่ที่สุดในลาว ด้วยปริมาณโครงงานสูงถึง 813 แผนการรวมราคา 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่สะดุดตาที่สุดเป็นรถไฟเชื่อมทางลาว-จีน ที่ในเวลานี้กำลังครึกโครม แม้กระนั้นก็กำเนิดปริศนาว่า เศรษฐกิจที่เติบโตจากสาธารณูปโภคของลาวที่ปรับปรุงขึ้นจะทันกับหนี้สินปริมาณมากมายก่ายกองที่ดอกกำลังทบทวีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของประเทศลูกหนี้ในแอฟริกา ทวีปที่ถูกแปลความว่าการร่วมลงทุนกับจีนเป็นกับหนี้สินเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ส.ค.ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา จีนประกาศชูหนี้สิน 23 รายการให้กับประเทศลูกหนี้ในทวีปแอฟริกาปริมาณ 17 ประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่เนื่องจากว่าในตอนหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้จีนชูหนี้สินให้กับประเทศแอฟริกาหลายครั้ง โดยมิได้เปิดเผยเนื้อหามากเท่าไรนัก

มองผิวเผินเป็นการดีสวย แม้กระนั้นการที่จีนมิได้เปิดเผยรายเอียดกติกาสักเท่าไหร่ทำให้นานาประเทศไม่บางทีอาจรู้ได้ว่า ในกติกาชูหนี้สินนั้นบรรดาประเทศลูกหนี้จำต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบ้าง เวลาที่ผู้ชำนาญบางรายชี้ว่า ความมีน้ำใจจากพญามังกรมิได้เป็นการชูจ่ายหนี้ทั้งสิ้น แม้กระนั้นเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้สินเพื่อช่วยลดผลพวงจากดอกมากยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลกเตือนถึงหนี้สินต่างแดนของบรรดาประเทศด้อยพัฒนาที่เพิ่มสูงมากขึ้นสร้างความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจว่าในอนาคตอันใกล้แนวโน้มอาจมุ่งไปสู่วิกฤตหนี้สินครั้งใหญ่แบบที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษ 1980 ทำให้จีนยิ่งถูกดูในด้านลบมากยิ่งขึ้น และก็นี่บางทีอาจเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้ในตอนหลังมานี้จีนตกลงใจชูหนี้สินบ่อยมา หากแม้ทราบว่าเศรษฐกิจของตนเองข้างหลังวัววิด-19 ก็มิได้ดีนัก อย่างไรก็ตามผู้คนจำนวนมากคิดว่าอันที่จริงแล้ว “กับหนี้สินจีน” บางทีอาจเป็นเพียงแค่นักดนตรีรรม เพราะเหตุว่ากรณีศรีลังกานั้น หนี้สินสาธารณะมาจากเหตุจากการจัดการงานของรัฐบาลเอง ในขณะกรุ๊ปประเทศในทวีปแอฟริกา ประเทศพวกนี้ก็ล้วนมีปัญหากการคลังเก็บของและก็ความไม่มั่นคงด้านการเมืองอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ทั้งยังจีนเองก็ไม่ใช่เจ้าหนี้รายใหญ่รายเดียว แม้กระนั้นที่แท้หลายประเทศด้อยพัฒนาก็กู้ยืมเงินและก็ค้างหนี้สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลกอย่าง ไอเอมเอฟ, ธนาคารโลก รวมทั้งกรุ๊ปกรุงปารีสคลับที่เป็นการรวมกลุ่มของประเทศมั่งคั่ง ซึ่งแม้เปรียบเทียบกันแล้วในบางชาติหนี้สินจีนน้อยกว่าหนี้สินชาติตะวันตกเสียด้วยซ้ำ และก็ในทวีปแอฟริกา หนี้สินจีนศูนย์รวมกับหนี้สินชาติตะวันตกกำลังทำให้หลายสิบประเทศบางทีอาจไปสู่ภาวการณ์หนี้สูญ กับหนี้สินจีนจะเกิดเรื่องใช่หรือนักดนตรีรรมยังไม่มีคำตอบ แต่ว่าจากข้อมูลที่มีก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า ประเทศที่เป็นลูกหนี้จีนกำลังมากยิ่งขึ้นถึงแม้อัตราค่าดอกเบี้ยจะสูงแล้วก็เสี่ยงที่จะไม่ถูกใช้หนี้จนกระทั่งบางทีอาจเกินเลยยอมเสียเปรียบแบบศรีลังกาก็ตาม